นานาสาระน่ารู้ เกี่ยวกับวิตามินบี และอาหารที่มีวิตามินบี

สมองและร่างกายเหนื่อยล้า

ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ยุคที่เทคโนโลยีถูกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ยุคที่การแข่งขันต่าง ๆ สร้างความกดดันให้กับผู้คนในสังคม ให้ต้องเร่งพัฒนาศักยภาพภายในตัวเองให้เพิ่มสูงขึ้น จนบางครั้งอาจสร้างความเหนื่อยล้าให้กับสมองและร่างกายของคนเรามากจนเกินไปแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าหากทำได้เราไม่ควรนำเรื่องต่าง ๆ มาคิดมากจนทำให้สมองล้าจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตามหากหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะก็ เราก็ควรจะมีตัวช่วยที่ดีที่จะมาช่วยบำรุงสมองและร่างกายให้กลับมาแข็งแรงและสมบูรณ์ใกล้เคียงเดิม เช่น การรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรืออาหารที่มีวิตามินบี เป็นต้น

และหากจะถามว่าทำไมต้องเป็นวิตามินบี คำตอบก็คงจะเป็นเพราะว่าวิตามินบีรวมที่ประกอบไปด้วยวิตามินบีประเภท ต่าง ๆ นั้น มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยบำรุงระบบประสาท ที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับใช้บำรุงสมองทั้งคนที่ทำงานหนัก หรือกระทั่งคนที่ไม่ได้ทำงานหนักก็ตาม นอกจากนี้ก็ยังเหมาะสำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัยอีกด้วย เราไปดูตัวอย่างประโยชน์และแหล่งอาหารของวิตามินบีประเภทต่าง ๆ กันเลยดีกว่า

ตัวอย่างวิตามินบีที่เราจะแนะนำให้รู้จักประโยชน์ ก็คือวิตามินบีประเภทที่คนส่วนใหญ่อาจจะรู้จักและอาจจะคุ้นหูกันมาเป็นอย่างดี เนื่องจากมีกล่าวไว้ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษากันแล้ว ได้แก่ วิตามินบี 1  วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 นั่นเอง

วิตามินบี 1 (ไทอะมีน)

ประโยชน์ของวิตามินบี 1 คือ สามารถช่วยในเรื่องของการเพิ่มพลังทางด้านสมอง เพราะมีสรรพคุณในเรื่องของการบำรุงระบบประสาทและสมอง เสริมสร้างการเติบโต และการเจริญของกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ทั้งยังช่วยให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคงูสวัดและโรคเหน็บชาได้อีกด้วย โดยแหล่งอาหารที่จะพบสารอาหารประเภทวิตามิบี 1 ได้แก่ อาหารประเภท ถั่วเหลือง ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีต่าง ๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวโอ๊ต รวมไปถึงนม ไข่แดง โยเกิร์ต เนื้อปลา เนื้อหมูที่ไม่ติดมัน เป็นต้น ซึ่งปริมาณวิตามินบี 1 ที่คนวัยผู้ใหญ่โดยทั่วไปควรได้รับต่อวันก็คือประมาณ 1.5 มิลลิกรัม

วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน)

ประโยชน์ของวิตามินบี 2 คือสามารถช่วยป้องกันเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของร่างกายมนุษย์ไม่ให้ถูกทำลายเกินกว่าปริมาณปกติ มีคุณสมบัติที่คล้ายกันกับสารที่เป็นจำเป็นต่อร่างกายอย่างสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ระบบเลือดไหลดีขึ้น เนื่องจากวิตามินบี 2 จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้สามารถไหลไปได้สะดวกดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดหัว ทั้งอาการทั่วไป และอาการปวดหัวที่เกิดจากโรคไมเกรนเป็นสาเหตุ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการบำรุงเล็บ เส้นผม และผิวพรรณได้ดีอีกด้วย ซึ่งแหล่งอาหารที่มีสารอาหารประเภทวิตามินบี 2 ได้แก่ ผักใบเขียว เห็ด งา ไข่ นม ตับ เนื้อปลา หมึก ปลาแซลมอน อัลมอนด์ เป็นต้น โดยปริมาณวิตามินบี 2 ที่ผู้ใหญ่ควรได้รับต่อวันก็คือประมาณ 1.7 มิลลิกรัม

วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน)

ประโยชน์ของวิตามินบี 6 คือ ช่วยเสริมและสร้างภูมิต้านทานต่าง ๆ ให้ร่างกาย ช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเป็นปกติ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการบำรุงระบบประสาทและช่วยเรื่องของการบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย โดยอาหารที่เป็นแหล่งวิตามินบี 6 ได้แก่ จมูกข้าวสาลี ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ปลา ตับ ถั่วต่าง ๆ กะหล่ำปลี แครอท และบริเวอร์ยีสต์ เป็นต้น

วิตามินบี 12 (โคบาลามิน)

ประโยชน์ของวิตามินบี 12 คือ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางได้ ช่วยเสริมสร้างสื่อประสาทที่สำคัญ ช่วยให้ระบบความจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สามารถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้วิตามินบี 12 ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างพลังงานได้ดี ลดอาการอ่อนเพลียลงได้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานโดยใช้ทั้งพลังกายและพลังสมองค่อนข้างมาก แหล่งอาหารของสารอาหารประเภทนี้ ได้แก่ ตับ ไข่ นม เนื้อวัว ปลาประเภทต่าง ๆ เช่น ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาทูน่า เป็นต้น โดยปริมาณวิตามินบี 12 ที่ผู้ใหญ่ควรได้รับต่อวันก็คือประมาณ 2 มิลลิกรัม และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ รับประทานแต่อาหารประเภทมังสวิรัติควรจะรับประทานวิตามินบี 12 เพิ่มเข้าไปให้เพียงพอ เพื่อเป็นการชดเชย เนื่องจากว่าอาหารที่มาจากพืชนั้นส่วนใหญ่จะไม่มีสารอาหารประเภทวิตามินบี 12 นั่นเอง

 และถ้าหากจะถามว่าควรเลือกรับประทานวิตามินบีอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย คำตอบก็คงจะเป็น “วิตามินบีรวม” เพราะการรับประทานแบบรวม จะช่วยให้วิตามินบีแต่ละตัวทำงานส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าวิตามินรวมนั้นประกอบไปด้วยวิตามินชนิดต่าง ๆ ทั้งที่กล่าวและไม่ได้กล่าว ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6, 7, 9, และวิตามินบี12

แล้ววิตามินบีรวม กินตอนไหน? ก็คงจะตอบว่า ควรกินวิตามินบีรวมก่อนรับประทานอาหาร ประมาณ 30-60 นาที เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง และไม่ต้องกลัวว่าจะรับประทานวิตามินบีเกินกว่าที่ร่างกายต้องการหรือไม่ เพราะวิตามินบีสามารถละลายได้ในน้ำ จึงไม่สะสมในร่างกายเหมือนพวกวิตามินที่ละลายในไขมันอย่างแน่นอน

และถ้าหากจะถามว่าควรซื้อวิตามินบีรวมยี่ห้อไหนดี คำตอบก็คงจะเป็นว่า ยี่ห้อใดก็ได้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมาแล้วเป็นอย่างดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีมาตรฐานในการผลิตที่ถูกต้องตามกรรมวิธี ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ เช่น Vistra และแบรนด์ซุปไก่สกัด เป็นต้น เป็นอย่างไรกันบ้างกับความรู้ นานาสาระเกี่ยวกับวิตามินบีที่เรานำมาฝากกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านทุกคนสามารถเลือกซื้อวิตามินบีมารับประทานได้อย่างตรงตามต้องการของร่างกายตนเองมากที่สุด

มหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ส่งท้ายปีพร้อมโปรโมชั่นและดีลสุดพิเศษที่ Shopee 12.12 Birthday Sale

ฟินกันต่อกับโปรโมชั่นส่งฟรีทั่วไทย ช้อปแค่ 0 บาทก็ส่งฟรีทั่วประเทศ พร้อมรับส่วนลด 50% ทุกวัน รีบช้อปด่วนตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2019 นี้! https://shopee.co.th/m/12-12